ที่มา “สันมหาพนสมุนไพรอินทรีย์”

ที่มา “สันมหาพนสมุนไพรอินทรีย์”

 

“กลุ่มสันมหาพนสมุนไพรอินทรีย์” ก่อตั้งโดยคุณ “มุทิตา สุวรรณคำซาว” ผู้ริ่เริ่มนำผักเชียงดามาแปรรูปทำเป็นเครื่องดื่มตั้งแต่ปีพ.ศ. 2537

ปัจจุบันมีสมาชิกเข้าร่วมเกือบ 100 ราย พื้นที่เพาะปลูกแบบอินทรีย์กว่า 200 ไร่ มีโรงตากพลังงานแสงอาทิตย์และสถานที่แปรรูปที่ได้มาตรฐานเป็นของตัวเอง

ทั้งยังได้รับการสนับสนุนอย่างดีเสมอมาจากหน่วยงานราชการ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาด้านการเพาะปลูกพืชอินทรีย์ การออกแบบสถานที่ผลิต กรรมวิธีการผลิตที่เหมาะสม การออกแบบบรรจุภัณฑ์ ไปจนถึงช่องทางส่งเสริมการขาย 

 

จึงทำให้กลุ่มวิสาหกิจชุมชนสันมหาพนสมุนไพรอินทรีย์มีความเข้มแข็ง มุ่งมั่นพร้อมจะผลิตและรักษาคุณภาพสินค้าให้ดีสืบไป พร้อมกันนั้นยังเป็นแหล่งให้และแลกเปลี่ยนความรู้กับหน่วยงานภาครัฐบาลและเอกชนต่างๆอีกด้วย

“FRESH FROM OUR FARM, STRAIGHT INTO YOUR CUP.”

 
“ผลิตภัณฑ์ชาผักเชียงดาตรากาทอง” ริ่เริ่มมาจากตำราหมอยาพื้นบ้านของชาวเหนือที่นำเอาผักเชียงดา 9 ใบ ตำละเอียดแช่กับน้ำซาวข้าว ใช้ลดอาการไข้ในเด็ก และการนำใบสดมาต้มกินแก้ปวดเมื่อยได้เป็นอย่างดี ตำรายานี้ถูกถ่ายทอดจาก”อุ้ยหนานเปียง สุวรรณ์” มาสู่”คุณมุทิตา สุวรรณคำซาว”

 

คุณมุทิตา สุวรรณคำซาว ขณะวัย 40 ปี ประสบปัญหาด้านสุขภาพต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลบ่อยครั้งซึ่งผลการรักษาไม่เป็นที่น่าพอใจ ทั้งยังเห็นว่าการใช้ยาปฏิชีวนะอาจส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว จึงนึกย้อนถึงตำรายาพื้นบ้านที่ได้รับถ่ายทอดมา คุณมุทิตาทดลองนำใบผักเชียงดามาตากแห้งทำเป็นชาชงดื่ม พบว่าร่างกายทำงานได้ดีขึ้นอาการปวดเมื่อยลดลงอย่างสังเกตเห็นได้ ในที่สุดคุณมุทิตาสามารถเลิกใช้ยาปฏิชีวนะไปได้อย่างสิ้นเชิงภายในเวลา 6 เดือน

 

เมื่อทดลองกับตัวเองจนเห็นผลดีจึงนำชาผักเชียงดาแจกจ่ายแก่คนสนิท ซึ่งได้รับเสียงตอบรับที่ดี หลายท่านชื่นชอบในรสชาติและกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ คุณมุทิตาหันมาศึกษาข้อมูลผักเชียงดาอย่างจริงจังจนมีความมั่นใจในคุณสมบัติของผักเชียงดาและได้จัดตั้ง “กลุ่มสันมหาพนสมุนไพรอินทรีย์” เพื่อแปรรูปและจำหน่าย “ผักเชียงดาตรากาทอง” สืบมา

 

ด้วยความพากเพียรและอุตสาหะที่จะรักษาคุณภาพและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับสินค้าตรากาทองในหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ทุกวันนี้ผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้ากาทองได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้รักสุขภาพ ไม่เพียงเท่านั้นยังได้รับรางวัลจากทางภาครัฐมากมายเป็นการการันตีคุณภาพและเป็นแรงผลักดันให้เราพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้นสืบไป